top of page

HOPE IN DESPAIR

A Memoir by Sharon Khoo

หนังสือเรื่อง ความหวังในยามมืดมิดหรือ Hope in Despair เป็นหนังสือเล่มแรกและเป็นบันทึกชีวิตการเดินทางในการก้าวผ่านโรคซึมเศร้า, โรคเครียด หรือ CTSD, บาดแผลความสัมพันธ์ที่เจ็บปวด, และความรู้สึกอับอายกับความรู้สึกที่เป็นจุดด้อยของการมีความเจ็บป่วยทางจิตใจ

แชรอนได้รับแรงบันดาลใจที่จะเขียนเกี่ยวกับสิ่งข้างต้นเพราะเธอต้องการที่จะช่วยเหลือผู้อื่นที่เป็นแบบเธอที่ต้องการหนทางออกจากความมืดมิดและความเจ็บปวด เพื่อพวกเขาจะไม่รู้สึกเดียวดาย และโดยเฉพาะให้กับผู้หญิงเอเชียเหมือนเธอ ตลอดระยะเวลาของการเยียวยาและการเขียนหนังสือเล่มนี้ คุณแชรอนได้ค้นพบว่ามีทรัพยากรที่จำกัดที่จะช่วยเหลือผู้หญิงเอเชียที่อยู่ในสถานการณ์เดียวกับเธอให้รู้สึกว่าพวกเขาได้รับรู้ว่ามีคนที่จะเป็นตัวแทนให้กับเขา, ได้รับการยอมรับและการให้เกียรติ หรือรับรู้ว่ามีหนทางที่จะช่วยเหลือพวกเขาจากความเจ็บป่วยทางจิตใจที่เกี่ยวข้องกับพวกเขา

ทำให้คุณแชรอนรู้สึกอย่างแรงกล้าว่าพระเจ้าได้นำให้เธอที่จะแบ่งปันเรื่องราวของเธอ เพื่อที่ว่าเรื่องราวของเธอจะเป็นประโยชน์และเต็มไปด้วยพลังที่จะช่วยเหลือผู้อื่นที่กำลังเจอสถานการณ์เดียวหรือสถานการณ์ที่คล้ายกับที่เธอเคยเจอ

แม้ว่าจะไม่ค่อยมีใครแบ่งปันมุมมองเกี่ยวกับอุปสรรคของสุขภาพทางจิตใจและทางอารมณ์ของคริสเตียนในแทบเอเชีย (และเป็นผู้หญิง) เราหวังว่าหนังสือเล่มนี้จะสามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงในสิ่งนี้

สุดปลายทางของอุโมงค์ที่มืดมิดมีความหวังและแสงสว่างอยู่เสมอค่ะ

ถ้าต้องการรู้จักกับคุณใช้รุ่นเมื่อขึ้นให้กด ที่นี่

As Featured in...

Various Media that Hope in Despair has been featured in: 

Screenshot 2024-03-20 at 5.28.29 PM.png
S&L Yihui article.png
S&L Janice article.png
thumbs up.jpeg

ENDORSEMENTS

อาการผิดปกติทางจิตเป็นความจริงที่น่ากลัวและน่าสับสนที่สุดอย่างหนึ่งสำหรับผู้ที่ทนทุกข์  การทนทุกข์จากภาวะซึมเศร้านั้นเป็นประสบการณ์อันเลวร้ายมาก  องค์การอนามัยโลกได้จัดลำดับโรคซึมเศร้าว่า เป็นสภาวะที่สร้างความทุกข์ทรมานและทำให้มนุษยชาติไร้สมรรถภาพมากที่สุด  เมื่อมีใครเป็นขึ้นมา คนในครอบครัวและคนที่รักก็ต้องพลอยทนทุกข์ไปด้วย  อย่างไรก็ตาม มันเป็นโรคที่รักษาหายได้ และความก้าวหน้าด้านการแพทย์ ตลอดจนเทคนิคการให้คำปรึกษาได้ทำให้แนวโน้มของผู้ที่ทนทุกข์จากความเจ็บป่วยอันเลวร้ายนี้ดีขึ้นบ้างแล้ว

 

ภาวะบุคลิกภาพผิดปกติชนิดก้ำกึ่งมักถูกเข้าใจผิดและเป็นเนื้อหาที่เอามาทำหนังฮอลลีวูดมากมาย การรับรู้ภาวะดังกล่าวในแง่ลบทำให้ผู้ป่วยยอมรับมันได้ยาก อีกทั้งไปขอความช่วยเหลือก็ยาก  ผมต่อสู้ในความคิดแม้กระทั่งว่าจะคุยถึงแนวคิดนี้กับแชรอนดีหรือไม่ แต่ก็ดีใจที่ได้ทำลงไป และยิ่งดีใจมากขึ้นอีกที่เธอพร้อมรับฟังและทำใจยอมรับมัน

 

การไปพบนักจิตวิทยาต้องใช้ความกล้าหาญมาก และอาจจะมากขึ้นอีกถ้าต้องไปพบจิตแพทย์  ผมขอยกนิ้วให้ผู้ป่วยอย่างแชรอนที่ได้ยอมก้าวกระโดดครั้งใหญ่ด้วยความเชื่อที่จะไว้วางใจการดูแลของเหล่ามืออาชีพ ทั้งๆที่ค่อนข้างจะเป็นคนแปลกหน้าต่อกัน  มิหนำซ้ำ ยิ่งต้องเขียนถึงประสบการณ์ของตัวเองออกมา ยิ่งต้องใช้ความกล้ามากขึ้นอีก ซึ่งแชรอนก็ทำได้อย่างยอดเยี่ยม ไม่เพียงแค่เล่าถึงรายละเอียดการเดินทางของเธอสู่ความแข็งแรงสมบูรณ์อย่างจริงใจ แต่ยังได้ค้นคว้าหาข้อมูลมากมายเพื่อให้ข้อเท็จจริงที่จำเป็นยิ่งในการให้ความรู้ความเข้าใจแก่ผู้อ่านด้วย  นี่เป็นสิ่งที่จำเป็นในการลดตราบาปจากโรคจิตเภท

 

การเดินทางของแชรอนแสดงให้เราเห็นถึงการรวมพลังด้านจิตใจ ร่างกาย และจิตวิญญาณเข้าด้วยกัน เพื่อนำมาซึ่งการเยียวยาความเจ็บปวดชอกช้ำในชีวิต  นี่เป็นเรื่องราวที่ให้แรงบันดาลใจแก่ตัวผมเองด้วย และผมหวังว่ามันจะเป็นแรงบันดาลใจแก่ผู้อื่นที่ให้การรักษา หรือต้องทนทุกข์จากโรคจิตเภทด้วย

แชรอน ผมเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้เป็นส่วนเล็กๆบนเส้นทางการเยียวยารักษาของคุณจนหายดี

ดร. เคน อัง  

จิตแพทย์ และนักจิตบำบัดที่ปรึกษาอาวุโส 

อาดัมโรด เมดิคอล เซ็นเตอร์

ในพระธรรมยอห์น 10:10 ได้บอกกับเราว่า “พระเยซูจึงตรัสกับพวกเขาอีกว่า ขโมยนั้นย่อม มาเพื่อจะลักฆ่าและทำลาย เรามาเพื่อพวกเขาจะได้ชีวิตและจะได้อย่างครบบริบูรณ์” คือ ใน พระเยซูคริสต์นั้นมีชีวิตที่ครบบริบูรณ์ เราที่เกิดมาในครอบครัวคริสเตียนที่รู้จักพระเจ้านั้น ควรจะมีประสบการณ์ชีวิตที่ครบบริบูรณ์แบบนี้ แต่ในทางปฏิบัตินั้น ไม่ใช่ทุกครอบครัว จะเป็นแบบนี้ อีกประการหนึ่งซาตานไม่ยอมให้เรามีชีวิตครอบครัวที่ครบบริบูรณ์ตาม นำพระทัยของพระเจ้า มันพยายามแทรกแซง และทำลายครอบครัวในนำพระทัยนั้นเสีย ผมต้องขอบพระคุณพระเจ้าสำหรับคุณแชรอนที่กล้าเปิดเผยถึงความแตกสลายที่เกิดขึ้นใน ครอบครัวตั้งแต่เด็กว่ารุนแรงและเจ็บปวดขนาดไหน ยิ่งกว่านั้น ต้องขอบคุณคุณพ่อคุณแม่ ของคุณแชรอนที่ยอมเจ็บปวดเพื่อให้สังคมได้รับทราบถึงความแตกสลายในครอบครัว และ เป็นตัวอย่างประสบการณ์ของการเดินทางอันยาวไกลและเจ็บปวดที่จะได้รับการเยียวยา กลับสู่ชีวิตปกติตามนำพระทัยพระเจ้าสำหรับลูกของพระเจ้าทุกคน คุณแชรอนได้แบ่งปันการต่อสู้เริ่มตั้งแต่เด็กตัวเล็ก เพื่อก้าวไปสู่คนปกติที่เป็นนำพระทัย ของพระเจ้าด้วยความกระเสือกกระสนของเธอเอง ด้วยการขอความช่วยเหลือจากพี่น้อง คริสเตียนในคริสตจักร ศิษยาภิบาล จิตแพทย์ ที่ปรึกษาทางด้านจิตวิทยา เราได้เห็นว่า พระเจ้าทรงมีพระคุณและพระเมตตาต่อเธออย่างมากมาย การต่อสู้ของ เธอเป็นแบบอย่าง และเป็นกำลังใจให้กับคนที่ตกอยู่ในความแตกสลายแบบเดียวกันให้ ลุกขึ้นมาใหม่ได้อย่างเข้มแข็ง และไม่เพียงจะอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข แต่ยังสามารถ ใช้ประสบการณ์นี้ช่วยเหลือคนอีกจำนวนมากให้ลุกขึ้นมาอย่างมั่นคงได้ เมื่อคุณแชรอนทำได้โดยพระคุณของพระเจ้า เช่นเดียวกันทุกคนที่มีประเด็นแบบเธอก็ จะสามารถทำได้โดยพระคุณของพระเจ้าเช่นกัน แม้ว่าหนทางอาจจะยาวไกล เจ็บปวด ลำบาก แต่ปลายอุโมงค์นั้น คือ แสงสว่างที่มาจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ผู้ประทานกำลัง ให้อย่างไม่มีสิ้นสุด สิ่งที่ผมต้องขอขอบพระคุณพระเจ้าในการเดินทางของคุณแชรอนครั้งนี้ คือ ครอบครัวของ เธอ ทั้งสามี คุณโจชัว ลูกสาวทั้งสอง คือ น้องแชนนอนและน้องแวเลอรีที่ร่วมเดินทางจนทำให้ ความหวังได้เกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่ง เป็นความหวังอันเจิดจรัสท่ามกลางความมืดมิดสนิทนี้ 

นายแพทย์เกรียงศักดิ์ วรรธนาศิรกุล 

ศิษยาภิบาลคริสตจักรพันธกิจเชียงใหม

การเติบโตมาในครอบครัวที่ไม่สมประกอบ โดยเฉพาะหากมีการใช้ความรุนแรงโดยไม่มี ใครเข้าไปขัดขวางย่อมมีผลเสียหายร้ายแรงต่อชีวิตของผู้ที่ตกอยู่ในสภาพนั้นอย่างยาวนาน โดยเฉพาะในขณะที่เขาเป็นเด็ก ในสังคมของเรามักจะให้ความสำคัญกับการบาดเจ็บทาง กาย และมองข้ามหรือไม่ให้ความสำคัญกับการบาดเจ็บทางจิตใจ โดยมีความคาดหวังที่ไม่ได้ เปล่งออกมาเป็นคำพูดว่า พอโตขึ้นต่างคนต่างก็จะมีกลไกจัดการกับความพิกลพิการนี้ได้ ด้วยตัวเอง ประสบการณ์ที่คุณแชรอนได้แบ่งปันกับเราอย่างเปิดเผย จริงใจ และกล้าหาญนี้ทำให้เรา ทราบว่า บาดแผลทางใจที่ไม่ได้รับการแก้ไขเยียวยานั้นไม่สามารถหายไปได้เองด้วยการ เติบโตฝ่ายกายภาพ ตรงกันข้ามบาดแผลในใจนั้นกลับรอวันปะทุออกมาในทางใดทางหนึ่ง ที่ทำให้แม้แต่เจ้าตัวก็ตกใจ ดิฉันขอแนะนำหนังสือเล่มนี้ให้กับทุกคน เพื่อจะสัมผัสถึงความหวังแม้ตกอยู่ในความมืดมิด เป็นข่าวดีสำหรับจิตใจที่บุบสลายและบอบชำหรือมีบาดแผลว่า ท่ามกลางซากปรักหักพัง นั้นยังมีทางกู้คืนมา เป็นไปได้ที่จะมีชัยชนะเหนือผลพวงจากการกระทบกระเทือน ไม่ว่า จะเป็นความขมขื่น ความโกรธ ความคับข้องใจ ซึมเศร้าและผลร้ายอื่นๆได้ พระเยซูเองก็เคยเผชิญความร้ายกาจ ความรุนแรง การดูหมิ่น การถูกทรมาน การถูกทรยศ อย่างอยุติธรรมมาแล้ว พระองค์ทราบอย่างซึ้งใจว่า คุณรู้สึกอย่างไร หากคุณเต็มใจ พระองค์ ก็พร้อมจะเดินเคียงข้างไปกับคุณ พระองค์ยินดีร่วมฝ่าฟันคำโกหกเหล่านี้ไปด้วยกันกับคุณ จนกระทั่งคุณมาถึงฝั่งที่ปลอดภัย พระเจ้าได้สัญญาไว้ว่า “เมื่อมีความทุกข์ลำบาก เขา ทั้งหลายได้ร้องทูลพระยาห์เวห์ แล้วพระองค์ทรงนำเขาออกจากความทุกข์ใจ พระองค์ทรง ทำให้พายุสงบลงและคลื่นทะเลก็นิ่ง แล้วเขาทั้งหลายก็ยินดีเพราะมีความสงบและพระองค์ ทรงนำเขามาถึงเมืองท่าที่เขาปรารถนา” - สดุดี 117:28-30

ขอพระเจ้าอวยพระพร 

ทพญ.สิรีนุช วรรธนาศิรกุล 

ทีมศิษยาภิบาลคริสตจักรพันธกิจเชียงใหม

ในพระธรรมยอห์น 10:10 ได้บอกกับเราว่า “พระเยซูจึงตรัสกับพวกเขาอีกว่า ขโมยนั้นย่อม มาเพื่อจะลักฆ่าและทำลาย เรามาเพื่อพวกเขาจะได้ชีวิตและจะได้อย่างครบบริบูรณ์” คือ ใน พระเยซูคริสต์นั้นมีชีวิตที่ครบบริบูรณ์ เราที่เกิดมาในครอบครัวคริสเตียนที่รู้จักพระเจ้านั้น ควรจะมีประสบการณ์ชีวิตที่ครบบริบูรณ์แบบนี้ แต่ในทางปฏิบัตินั้น ไม่ใช่ทุกครอบครัว จะเป็นแบบนี้ อีกประการหนึ่งซาตานไม่ยอมให้เรามีชีวิตครอบครัวที่ครบบริบูรณ์ตาม นำพระทัยของพระเจ้า มันพยายามแทรกแซง และทำลายครอบครัวในนำพระทัยนั้นเสีย ผมต้องขอบพระคุณพระเจ้าสำหรับคุณแชรอนที่กล้าเปิดเผยถึงความแตกสลายที่เกิดขึ้นใน ครอบครัวตั้งแต่เด็กว่ารุนแรงและเจ็บปวดขนาดไหน ยิ่งกว่านั้น ต้องขอบคุณคุณพ่อคุณแม่ ของคุณแชรอนที่ยอมเจ็บปวดเพื่อให้สังคมได้รับทราบถึงความแตกสลายในครอบครัว และ เป็นตัวอย่างประสบการณ์ของการเดินทางอันยาวไกลและเจ็บปวดที่จะได้รับการเยียวยา กลับสู่ชีวิตปกติตามนำพระทัยพระเจ้าสำหรับลูกของพระเจ้าทุกคน คุณแชรอนได้แบ่งปันการต่อสู้เริ่มตั้งแต่เด็กตัวเล็ก เพื่อก้าวไปสู่คนปกติที่เป็นนำพระทัย ของพระเจ้าด้วยความกระเสือกกระสนของเธอเอง ด้วยการขอความช่วยเหลือจากพี่น้อง คริสเตียนในคริสตจักร ศิษยาภิบาล จิตแพทย์ ที่ปรึกษาทางด้านจิตวิทยา เราได้เห็นว่า พระเจ้าทรงมีพระคุณและพระเมตตาต่อเธออย่างมากมาย การต่อสู้ของ เธอเป็นแบบอย่าง และเป็นกำลังใจให้กับคนที่ตกอยู่ในความแตกสลายแบบเดียวกันให้ ลุกขึ้นมาใหม่ได้อย่างเข้มแข็ง และไม่เพียงจะอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข แต่ยังสามารถ ใช้ประสบการณ์นี้ช่วยเหลือคนอีกจำนวนมากให้ลุกขึ้นมาอย่างมั่นคงได้ เมื่อคุณแชรอนทำได้โดยพระคุณของพระเจ้า เช่นเดียวกันทุกคนที่มีประเด็นแบบเธอก็ จะสามารถทำได้โดยพระคุณของพระเจ้าเช่นกัน แม้ว่าหนทางอาจจะยาวไกล เจ็บปวด ลำบาก แต่ปลายอุโมงค์นั้น คือ แสงสว่างที่มาจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ผู้ประทานกำลัง ให้อย่างไม่มีสิ้นสุด สิ่งที่ผมต้องขอขอบพระคุณพระเจ้าในการเดินทางของคุณแชรอนครั้งนี้ คือ ครอบครัวของ เธอ ทั้งสามี คุณโจชัว ลูกสาวทั้งสอง คือ น้องแชนนอนและน้องแวเลอรีที่ร่วมเดินทางจนทำให้ ความหวังได้เกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่ง เป็นความหวังอันเจิดจรัสท่ามกลางความมืดมิดสนิทนี้ 

นายแพทย์เกรียงศักดิ์ วรรธนาศิรกุล 

ศิษยาภิบาลคริสตจักรพันธกิจเชียงใหม

ในหนังสือเล่มนี้ แชรอนได้สะท้อนถึงประสบการณ์ช่วงที่เธอเติบโตมา ซึ่งได้หล่อหลอมกลไกการรับมือของเธอจนถึงช่วงวัยผู้ใหญ่ได้อย่างตรงไปตรงมา  แม้ว่าการเดินทางของเราแต่ละคนจะมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว แต่ผมคิดว่ามีหลายอย่างในเรื่องราวของเธอที่โดนใจบรรดาผู้ที่ถูกเลี้ยงดูมาในสังคมเอเชีย และเส้นทางสู่เสรีภาพของเธอก็อาจให้ความหวังและความคิดแก่คนอื่นๆที่อาจพบว่า ตัวเองยังต้องรับมือกับวิญญาณที่ยังหลอกหลอนอยู่จากบาดแผลใจในวัยเด็ก  ส่วนผู้ที่ต้องดูแลคนอื่น หนังสือเล่มนี้อาจให้ความเข้าใจเบื้องหลังว่า ทำไมคนที่ดูเหมือนปกติธรรมดาๆแต่กลับต้องต่อสู้กระเสือกกระสนมากมายในชีวิต  ท้ายสุด ประสบการณ์ของแชรอนเป็นคำพยานที่น่าอ่านอย่างยิ่งถึงวิธีการอันลี้ลับและพระคุณของพระเจ้าในทุกชีวิต  นี่เป็นหนังสือที่ผมขอแนะนำให้อ่านจริงๆ

ศาสนาจารย์แคนอน แดเนียล วี

ศิษยาภิบาลอาวุโส

เชิร์ชออฟอาวเวอร์เซเวียร์ ประเทศสิงคโปร์

น่าเสียดายที่เราอาศัยอยู่ในยุคสมัยที่ครอบครัวไม่ปกติสุข และไม่สามารถทำหน้าที่ครอบครัวอย่างที่ควรจะเป็นได้กลายมาเป็นเรื่องปกติธรรมดา แทนที่จะเป็นเรื่องผิดปกติ  และที่แย่พอๆกัน คือ การที่เด็กส่วนใหญ่ซึ่งเติบโตมาในสภาพแวดล้อมดังกล่าวต้องลงเอยด้วยการส่งต่อความพิกลพิการนั้นให้ลูกหลานของตนเมื่อถึงคราวที่ตนเป็นพ่อแม่เสียเอง

เนื้อหาในเล่มนี้เป็นเรื่องราวการเดินทางอันกล้าหาญสู่การเยียวยาของเธอซึ่งให้แรงบันดาลใจอย่างยิ่ง และเป็นการยืนหยัดอย่างอาจหาญในอันที่จะยุติวงจรความเจ็บปวด การทำทารุณกรรม และการล่วงละเมิด ตลอดจนบาดแผลใจจากเหตุการณ์เลวร้ายในอดีต  ขอให้คุณผู้อ่านได้รับการเยียวยาจากคำพยานอันทรงพลังของเธอ

ดร.คอร์นีเลียส เคว็ก

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ด้านพันธกิจ

โรงเรียนพระคริสตธรรม  เอ.ดับบลิว โทเซอร์ แห่งมหาวิทยาลัยซิมสัน

เรดดิ้ง รัฐแคลิฟอร์เนีย 

“หนังสือเล่มนี้เป็นเรื่องราวการเอาชนะภาวะซึมเศร้าและความสามารถในการปรับตัวได้อย่างดี ตลอดจนชัยชนะอันแท้จริง ด้วยศรัทธา ความหวัง และความรัก

ผมวางไม่ลงเลยทันทีที่เริ่มอ่านต้นฉบับนี้  ผมหลงรักความใสซื่อของผู้เขียนจากถ้อยคำที่เธอเลือกใช้ และฉากต่างๆที่เธอบรรยายจนเห็นภาพ เพื่อแสดงถึงตัวตนและการต่อสู้ภายในจิตใจเธอ  การพลิกไปแต่ละหน้านั้นเหมือนกับได้เหยียบย่างไปบนพื้นที่หวงห้าม เหมือนกำลังเข้าไปในความสัมพันธ์ระหว่างเสียงร้องวิงวอนอันสิ้นหวังของลูกสาวกับพระเจ้าผู้เป็นพ่อที่ห่วงใย และได้รับรู้เรื่องราวส่วนตัวในการเผชิญหน้ากันอย่างสนิทสนมของทั้งสอง

แชรอนได้เล่าถึงความเจ็บปวด การต่อสู้ และประสบการณ์ทางอารมณ์ของเธอได้อย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง โดยไม่ละอาย เสียงของเธอน่าเชื่อถือ และนำมาซึ่งความหวังแก่ผู้อ่าน บ่งบอกให้รู้ว่า ยังมีแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์สำหรับผู้ที่เป็นโรคซึมเศร้า  เธออธิบายเรื่องการให้คำปรึกษาและการบำบัดด้วยความเข้าใจอันลึกซึ้ง ในฐานะที่ได้ผ่านมันมาและได้รับประโยชน์จากประสบการณ์นั้นด้วยตัวเอง และนี่เป็นสิ่งที่ให้กำลังใจแก่ทุกคนที่กำลังว้าวุ่นใจในการเสาะหาความช่วยเหลือเพื่อก้าวสู่การเยียวยาอย่างสร้างสรรค์

เห็นได้ชัดว่า การช่วยเหลือสนับสนุนจากสามี ครอบครัว ผู้ให้คำปรึกษา ตลอดจนเพื่อนฝูงที่รักเธอให้ก้าวผ่านช่วงเวลาอันว้าวุ่นใจนั้นมาได้ นับเป็นจุดแข็งสำคัญสำหรับแชรอน  ข้อคิดจากการไตร่ตรองทบทวนเรื่องราวของเธอตลอดจนข้อมูลเรื่องโรคซึมเศร้า และวิธีการรักษาทั้งหลายที่เธอได้เล่าให้ฟังจากการค้นคว้าของเธอก็นับเป็นประโยชน์เพิ่มเติมที่ผู้อ่านจะได้รับจากการอ่านหนังสือเล่มนี้  แชรอนไม่เพียงถือว่าตัวเอง ตลอดจนครอบครัวและเพื่อนใหม่ๆผู้ร่วมในการเดินทางอันยากลำบากนี้เป็นผู้มีชัย แต่ที่สำคัญที่สุด เธอยังได้พบกับพระเจ้าผู้รักเธอ และเข้าใกล้ชิดพระองค์ผู้แบกรับบาป ความเจ็บปวด และความทุกข์โศกทั้งสิ้นของเรา

ดร. แทน หงอ เตียง

ศาสตราจารย์แห่งสิงคโปร์ ยูนิเวอร์ซิตี ออฟ โซเชียล ไซแอนซ์ (มหาวิทยาลัยด้านสังคมศาสตร์แห่งสิงคโปร์)

วิทยากรรับเชิญที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ประเทศไทย

ประธานโกลบอล อินสติทูธ ออฟ โซเชียล เวิร์ค 

bottom of page